ที่มาจาก http://cheeranan.exteen.com/20051121/entry

cheeranan View my profile Previous คนรักเครื่องดนตรีไทยแบบโบราณเชิญทางนี้ ประวัติศาสตร์ศิลปะสากล การวิเคราะห์วิจารณ์งานศิลปะ ห้องแสดงผลงานศิลปะและการออกแบบ (Art Gallery&Design) ศิลปะไทย (The art of Thai Painting) Recommend Favourites cheeranan’s blog Links ฟังเพลงด้วยความสุข วิวัฒนาการของศิลปะสากล posted on 21 Nov 2005 00:20 by cheeranan in History วิวัฒนาการของศิลปะสากล ในที่นี้จะขอกล่าวถึงวิวัฒนาการของศิลปะสากลตั้งแต่สมัยกลาง (Middle Age) ถึง สมัยใหม่( Modern Art ) ทั้งด้านจิตรกรรม ประติมากรรมและสถาปัตยกรรม พอสังเขป เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่สนใจ และสำหรับนักเรียนที่จะศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ รายวิชา ศิลปะ 5 รหัสวิชา ศ43101 (พื้นฐาน) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1โรงเรียนสตรีสมุทรปราการ ท้าวความไปยัง…….สถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ของกรีก-โรมัน 1.หัวเสาแบบกรีก มี 3 แบบ ได้แก่ ดอริก ( Doric ) ไอออนิก ( Ionic ) คอรินเทียน ( Corinthian ) 2.วิหารพาร์เธนอน ( Parthenon ) ในกรุงเอเธนส์ สร้างขึ้นตามแบบสถาปัตยกรรมดอริก 3.วิหารแพนธีออน ( Pantheon ) เก่า ของชาวโรมัน เป็นวิหารที่มีการใช้หลังคาโค้งทำให้อาคารมีขนาดกว้าง มากกว่าในสมัยกรีก วิหารแพนธีออน ( Pantheon ) ของโรม อิตาลี Ancient Roman Architecture : Arch of Constantine (โรมัน) ซุ้มโค้งแบบโรมัน ช่วยแก้ปัญหาการรับน้ำหนักของอาคารขนาดใหญ่ ศิลปะสมัยกลาง ( Middle Age ) 1.) ศิลปะไบเซนไทน์ ( Bizentine ) การสร้างสรรค์เพื่อพระผู้ไถ่บาปให้แก่มวลมนุษย์ ( ค.ศ.330 – 1453 หรือ พ.ศ.873 – 1996 ) 1. โบสถ์เซนต์โซเฟีย St.Sophia ค.ศ.532-537 เป็นสถาปัตยกรรมแห่งการผสมผสาน นับเป็นแหล่งรวมลักษณะความโดดเด่น ของกรีก โรมันและลักษณะตะวันออก แบบอาหรับ หรือเปอร์เซีย ไว้ในผลงานชิ้นเดียวกันได้อย่างกลมกลืน 2. ภาพขบวนแถวของนักบวช ประมาณปี ค.ศ.560 เป็นภาพ โมเซอิค ( Mosaic ) คือใช้กระเบื้องเคลือบชิ้นเล็กๆ มาประกอบกัน 3. ภาพพระแม่แห่งวลาดิเมียร์ Vladimir ประมาณปี ค.ศ.1125 เป็นงานจิตรกรรมที่เขียนสีลงบนแผ่นไม้ไว้สำหรับเคารพบูชาในบ้าน เรียกว่า ไอคอน (Icon) 2.) ศิลปะโกธิค ( Gothic ) คริสต์ศตวรรษที่ 12-15 ในประเทศฝรั่งเศสเป็นหลัก ลักษณะเด่นของสถาปัตยกรรม สมัยโกธิค คือ มีลักษณะสูงชลูด และส่วนที่สูงที่สุดของโบสถ์ จะเป็นที่ตั้งของกางเขนอันศักดิ์สิทธิ์ เพื่อจะเป็นที่ติดต่อกับพระเจ้าบนสรวงสวรรค์ ได้แก่ 1.วิหารโนเตรอ-ดาม ( Notre-Dame) กรุงปารีส ฝรั่งเศส พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดให้ถ่ายแบบแล้วนำมาสร้างไว้ที่ วัดนิเวศธรรมประวัติ บางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา The west front at sunset. วิหารนอเตรอ-ดาม (ภาพจาก http://www.scared-destinations.com ) ด้านหน้าของวิหารนอเตรอ-ดาม The North Rose Window. ภาพประดับกระจกสี (Stain Glass) (ภาพจาก http://www.hiru.com ) วัดนิเวศธรรมประวัติ ราชวรวิหาร ตำบลบ้านเลน อำเภอบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา 2.ถนนไปสู่รูปเคารพ โดย ไซมอน มาตินี ค.ศ.1340 พ.ศ.1883 เป็นงานจิตรกรรมที่ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับคริสต์ศาสนา ในรูปแบบของภาพวาดแบบเหมือนจริง 3. ภาพคนดีแห่งซามาเลีย เป็นภาพกระจกสีที่ตกแต่งวิหารโนเตรอ-ดาม (Notre-Dam)เล่าเรื่องราวความเป็นมาของอาดัมกับอีฟในคัมภีร์เก่า ภาพกระจกสีนับเป็นส่วนหนึ่งของอาคารทางสถาปัตยกรรมของศาสนาคริสต์ หากแสงส่องในเวลากลางวันผู้ที่อยู่ภายในอาคารก็จะสัมผัสกับสีสันอันสดใส ส่งเสริมบรรยากาศให้แลดูศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้นเฉกเช่นในเวลากลางคืนที่แสงสว่าง จากภายในก็จะสะท้อนแสงสีอันงดงามมลังเมลืองแก่ผู้พบเห็นที่อยู่ภายนอก 4. รูปเซนต์แฟร์แมง St.Fermin ( ค.ศ. 1225 ) เป็นประติมากรรมตกแต่งวิหารอาเมียงส์ สะท้อนเรื่องราวทางศาสนา และลักษณะโครงสร้างที่สูงชะลูด 3.) ยุคฟื้นฟูศิลปะและวิทยาการ ( Renaissance ) คริสต์ศตวรรษที่ 14 ยุโรปมีความตื่นตัวทางด้านการพาณิชย์และแสวงหาดินแดนในโลกใหม่ อันนำมาซึ่งลัทธิการล่าอาณานิคม ส่วนในทางศิลปะนั้น ศิลปินมีความกล้าที่จะแหวกวงล้อมของอิทธิพลศิลปะโกธิค ไปสู่การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ส่วนในทางวิทยาศาสตร์และการประดิษฐ์ มีการค้นพบระบบสุริยจักรวาลของโคเปอร์นิคัส การค้นพบกระบวน การพิมพ์หนังสือของ กูเตนเบอร์กและฟุสท์ อิตาลี ถือว่าเป็นศูนย์กลางของความเจริญก้าวหน้าที่สำคัญ โดยเฉพาะในเรื่องของศิลปกรรม ศิลปะในสมัยฟื้นฟูศิลปะและวิทยาการ เป็นยุคสมัยที่มีคุณค่ายิ่งต่อวิวัฒนาการทางจิตรกรรมของโลก คือ ความมีอิสระในการสร้างสรรค์ศิลปะของมนุษย์ ความมีลักษณะเฉพาะตัวของศิลปิน กล้าที่จะคิดและแสดงออกตามแนวความคิดที่ตนเองชอบ และต้องการแสวงหา นับเป็นบันไดก้าวแรกที่จะนำทาง ไปสู่การสร้างสรรค์งานจิตรกรรมสมัยใหม่ในเวลาต่อมา งานจิตรกรรมมีความตื่นตัวและเจริญก้าวหน้า ทางเทคนิควิธีการเป็นอย่างมาก ได้มีการคิดค้นการเขียนภาพลายเส้นทัศนียภาพ ( Linear Perspective ) ซึ่งนำไปสู่การเขียนภาพทิวทัศน์ที่งดงาม นอกจากนี้ศิลปินได้พยายามศึกษากายวิภาค ด้วยการผ่าตัดศพ พร้อมฝึกวาดเส้น สรีระและร่างกายมนุษย์อย่างละเอียด แสดงกระดูกและกล้ามเนื้อที่ถูกต้อง ความเจริญก้าวหน้าในงานจิตรกรรมสีน้ำมัน ประสบความสำเร็จอย่างสูงในยุคนี้ด้วย 1. โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ (St.Peter) ค.ศ.1506-1546 บรามานเต เป็นสถาปนิกผู้ออกแบบและคุมการก่อสร้าง แต่บรามานเตถึงแก่กรรมก่อนงานจะเสร็จ จึงเป็นภาระหน้าที่ของสถาปนิกอีกหลายคน จนกระทั่ง ค.ศ.1546 มิเคลันเจโล Michelangelo Buonarrotii ได้รับการติดต่อจากสันตะปาปาจอห์นปอลที่ 3 ให้เป็นสถาปนิกรับผิดชอบออกแบบก่อสร้างต่อไป โดยเฉพาะอาคารที่อยู่ตรงกลาง มิเคลันเจโลได้แรงบันดาลใจมาจากวิหารแพนธีออน ของจักรวรรดิโรมัน พระที่นั่งอนันตสมาคม 2. ภาพกำเนิดอาดัม (ค.ศ.1508-1512 ) มิเคลันเจโล บูโอแนร์โรตี Michelangelo Buonarrotii เป็นงานจิตรกรรมฝาผนังที่เขียนไว้ตกแต่งเพดานโบสถ์ซิสทีน ด้วยวิธีการวาดภาพปูนเปียก Fresco คือเขียนภาพในขณะที่ปูนยังไม่แห้ง เพื่อสีจะได้ซึมเข้าไปในเนื้อปูน อันมีผลต่อความคงทน 3. ภาพโมนา ลิซา Mona Lisa (ค.ศ.1503-1505) เลโอนาร์โด ดา วินชี Leonardo Da Vinci เป็นภาพเขียนสีน้ำมันบนผ้า ขนาด 30.5 X 21 นิ้ว แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการถ่ายทอดแบบเลียนแบบธรรมชาติ การพิถีพิถันเรื่องการจัดวางมือที่งดงาม แววตาและรอยยิ้มอย่างมีเลศนัย การนำธรรมชาติมาเป็นฉากหลังและสร้างมิติใกล้ไกลแบบวิทยาศาสตร์ การเห็น (ทัศนียภาพหรือPerspective) เลโอนาร์โด ดา วินชี เป็นผู้ริเริ่มการเขียนภาพแบบ แสดงค่าตัดกันระหว่างความมืดกับความสว่าง ที่เรียกว่า คิอารอสกูโร( Chiaroscuro ) ภาพอาหารมื้อสุดท้าย The Last Supper เป็นงานจิตรกรรมที่มีชื่อเสียงอีกภาพหนึ่งของเลโอนาร์โด ดา วินชี 4. ดาวิด David ( ค.ศ.1501-1504 ) มิเคลันเจโล รูปสลักรูปดาวิด เป็นหินอ่อน มีความสูงถึง 13 ฟุต 5 นิ้ว เป็นการถ่ายทอดรูปแบบ ที่มีกรีกและโรมันเป็นแนวทาง จึงทำให้รูปดาวิดมีลักษณะทางกายภาพสอดคล้องกับอุดมคติ ของกรีกและโรมัน ที่เน้นความสมบูรณ์ทางสรีระ การจัดท่วงท่าที่งดงาม ด้วยการใช้ขาข้างหนึ่งรับน้ำหนัก อีกข้างหนึ่งงอพัก แขนข้างหนึ่งห้อยขนาน อีกข้างหนึ่งยกขึ้นในอิริยาบถที่ไม่ซ้ำกับแขนอีกข้างรูปดาวิด ให้ความรู้สึกที่สง่างาม มีท่วงท่าที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญ ปิเอต้า (Pieta) เป็นผลงานประติมากรรมของมิเคลันเจโลที่สวยงามมากอีกชิ้นหนึ่ง The School of Athens 4.) ศิลปะบาโรก ( Baroque ) ค.ศ.1580 – 1750 เป็นยุคที่มีการสร้างสรรค์งานศิลปะเพื่อการแสดงออกที่เรียกร้องความสนใจ มากเกินไปมุ่งหวังความสะดุดตาราวกับจะกวักมือเรียกผู้คนให้มาสนใจศาสนา การประดับตกแต่งมีลักษณะฟุ้งเฟ้อเกินความพอดี 1. พระราชวังแวร์ซายล์ส Versailles (ค.ศ.1661 – 1691) สร้างขึ้นด้วยหินอ่อน ในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ของประเทศฝรั่งเศส ใช้เงินไปประมาณ 500 ล้านฟรังส์ จุคนได้ประมาณ 10,000 คน เพื่อประกาศให้นานาประเทศได้เห็นถึงอำนาจและบารมีของพระองค์ 2. ความปลาบปลื้มยินดีของเซนต์เทเรซา St.Theresa (ค.ศ.1645 – 1652) ศิลปิน เบอร์นินี เป็นงานประติมากรรมที่แสดงอาการความรู้สึกเคลื่อนไหวมีชีวิต ประหนึ่งว่ามีลมหายใจ ผลงานชิ้นนี้บ่งบอกถึงการทำงาน อย่างมีการวางแผน เพื่อให้ผลงานและพื้นที่ทั้งหมดอยู่ร่วมกันได้อย่างงดงามและกลมกลืน 3. ภาพยามกลางคืน In the night ( ค.ศ.1664 ) โดย เรมบรานด์ท แวน ไรน์ Rembrandt van Rijn เป็นงานจิตรกรรมที่มีการใช้แสงเงากำหนดพื้นที่สว่างบนเงาเข้มได้อย่างยอดเยี่ยม 5.) ศิลปะโรโคโค ( Rococo ) ค.ศ. 1700 – 1789 เป็นผลงานศิลปะที่สะท้อนความโอ่อ่า หรูหรา ประดับประดาตกแต่งที่วิจิตรละเอียดละออส่งเสริมความรื่นเริง ยินดี ความรัก กามารมณ์ 1. ภาพกำเนิดวีนัส ( ค.ศ.1754 ) โดย บูเชร์ เป็นศิลปินผู้มีฐานะและบทบาทสำคัญโดยเป็นผู้นำที่รับผิดชอบทางด้านจิตรกรรม ของราชสำนักผลงานจิตรกรรมของเขาแสดงสีสันที่สวยงาม สอดคล้องกลมกลืนกับเรื่องราว เสนอเรื่องราวที่ให้ความรื่นเริง ชวนฝัน อิ่มสุข ซึ่งรสนิยมดังกล่าวมีปรากฏให้เห็น อยู่ในพระราชวังแวร์ซายล์ส 2. การตกแต่งภายในโบสถ์ที่บาวาเรีย ( ค.ศ.1767 หรือ พ.ศ.2310 ) ศิลปะการตกแต่งพัฒนาไปสู่ความวิจิตรมากยิ่งขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนจากราชสำนัก ตลอดจนชนชั้นสูงเป็นพิเศษ การตกแต่งห้องจะสะท้อนให้เห็นถึง ความละเอียดละออ ประณีต สีสันของบรรยากาศที่เปี่ยมสุขจนแทบไม่มีที่ว่างแห่งความเศร้าหมอง เข้าสอดแซม 3. แบจิอัส โดย ฟอลโคเนท์ Etienne Maurica Falconet ( ค.ศ.1760-1780 ) เป็นประติมากรรมหินอ่อน ที่ใช้ตกแต่งมีขนาดสูงเพียง 38 ซม. ลักษณะบ่งบอกถึงการเป็นส่วนหนึ่งของกรีก-โรมัน สมัยฟื้นฟูศิลปะและวิทยาการ จนถึงสมัยบาโรก ซึ่งนิยมแสดงออกในรูปแบบที่เลียนแบบจากธรรมชาติ นอกจากนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงความกลมกลืนกับคตินิยมของสมัยโรโคโค โดยเฉพาะทางด้านเรื่องราวและการจัดท่าทาง ที่มุ่งหวังทำให้เกิดความรู้สึกชื่นชมในสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้กับมนุษย์ 6.) ศิลปะคลาสสิกใหม่ ( Neoclassic ) ค.ศ. 1780 – 1840 เป็นลัทธิทางศิลปะที่เก่าแก่ที่สุด ได้ฟื้นฟูศิลปะคลาสสิกอันงดงามของกรีกและโรมันกลับมาสร้างใหม่ ปรัชญาที่ว่าศิลปะ คือ ดวงประทีปของเหตุผล โดยเน้นความประณีต ละเอียดอ่อน นุ่มนวล และเหมือนจริง ด้วยสัดส่วนและแสงเงา เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของศิลปะสมัยกลางและศิลปะสมัยใหม่ เป็นประตูของประวัติศาสตร์บานสำคัญที่ทำหน้าที่แง้มไปสู่โลกแห่งเสรีภาพ อันมีผลต่อการคิดค้นสร้างสรรค์ศิลปะอย่างกว้างขวางในเวลาต่อมา 1. ภาพความตายของโซคราติส โดย ดาวิด David ค.ศ.1787 แสดงให้เห็นความสมจริงตามแบบตามองเห็น การกำหนดมิติ น้ำหนัก แสงเงา ยังอาศัยอิทธิพลดั้งเดิมของศิลปะสมัยกลาง มีการนำลักษณะโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมสมัยกรีกและโรมัน มาสร้างเป็นภาพพื้นหลังแสดงเรื่องราวในสมัยกรีกและโรมัน ซึ่งจะแฝงไว้ด้วยความรักชาติ ความเสียสละ สำนึกรับผิดชอบต่อประชาชน 2. ภาพคำสาบานของพวกฮอราติไอ โดย ดาวิด David ค.ศ.1784 เป็นเรื่องราวความรักชาติของนักรบโรมัน 3 คนที่รับดาบจากบิดา เพื่อสู้รบกับศัตรู โดยยึดถือผลประโยชน์ของรัฐ เป็นหลัก ส่วนครอบครัว คนรักและความผูกพันระหว่างพี่น้องเป็นผลประโยชน์ด้านรอง ศิลปะสมัยใหม่ ( Modern Art ) 1.) ศิลปะจินตนิยม ( Romanticism ) ประมาณ ค.ศ. 1800 1900 ก่อเกิดในอังกฤษและฝรั่งเศสช่วงระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน มีทรรศนคติที่ต้องการความเป็นอิสระ ในการแสดงออกที่ศิลปินต้องการมากกว่าการเดินตามกฏเกณฑ์ และแบบแผนทางศิลปะ ดังที่ศิลปินลัทธิคลาสสิกใหม่ยังยึดถืออยู่เป็นศิลปะ ที่เน้นอารมณ์อยู่เหนือเหตุผล มุ่งสร้างสรรค์งานที่ตื่นเต้น เร้าใจ ก่อให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจแก่ผู้ชม 1. ภาพ 3 พฤษภาคม 1808 โดย โกยา Francisco Goya ( ค.ศ.1814 ) เป็นภาพแสดงเหตุการณ์ปฏิวัติในฝรั่งเศส 2. ภาพ เสรีภาพนำหน้าประชาชน โดย เดอลาครัวซ์ Eugene Delacroix ( ค.ศ.1830 ) เดอลาครัวซ์เป็นศิลปินชาวฝรั่งเศสที่พัฒนาตนเองมาจากการศึกษาศิลปะ ในอดีตจนกลายเป็นผู้นำลัทธิจินตนิยม งานจิตรกรรมชิ้นนี้เป็นภาพที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์การปฏิวัติในฝรั่งเศส จะเห็นว่าภาพนี้สามารถส่งผลกระทบต่อความรู้สึกได้อย่างน่าตื่นเต้น นับตั้งแต่การเลือกเรื่องราว การจัดภาพ การกำหนดแสงเงาที่ตัดกันเอกภาพของทิศทางของกลุ่มคนยืน ขัดแย้งกับทิศทางของผู้บาดเจ็บล้มตาย การให้ความสำคัญในท่าทางอิริยาบถของทุกคน การถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกผ่านท่าทาง ใบหน้า และดวงตา 3. ภาพ การอับปางของแพเมดูซา โดย เจริโคท์ Theodore Gericault ( ค.ศ.1819) เรื่องราวที่เขียนเกิดจากการได้รับทราบเหตุการณ์ การประสบอุบัติเหตุเรือแตกของเรือลำหนึ่ง โดยมีผู้รอดชีวิตจำนวนหนึ่งต้องเผชิญกับภัยอย่างอ้างว้างบนแพอันจำกัด กลางท้องทะเลแห่งคลื่นลมและความหิวมีวิธีการจัดภาพ โดยการกำหนดแสงเงาแบบสว่างจัดมืดจัดตัดกันอย่างรุนแรงอิริยาบถของผู้คน ได้รับการจัดท่าทางอย่างสมบทบาทการแสดงออกบนใบหน้าและท่าทาง ทำให้เกิดความรู้สึกที่หลากหลายนับตั้งแต่ลีลาที่อ่อนล้าโรยแรง จนถึงความตื่นเต้นเมื่อแลเห็นเกาะอยู่ลิบๆ 4. ภาพ พายุหิมะ โดย เจ เอ็ม ดับบลิว เทอร์เนอร์ Joseph Mallord William Turner ( ค.ศ. 1841 – 1842 ) เทอร์เนอร์เป็นศิลปินชาวอังกฤษที่ทำงานด้านปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และทิวทัศน์ ในภาพพายุหิมะเป็นการถ่ายทอดบรรยากาศของเรือกลไฟที่ใกล้จะอับปาง ท่ามกลางคลื่นลมกลางทะเล 2.) ศิลปะสัจนิยม ( Realisticism ) กลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ศิลปินในยุคนี้ได้แก่ กุสตาฟ คูร์เบท์,ฌอง ฟรังซัวส์ มิล์เลท์ 1. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ ภาพร่อนข้าวโพด The Corn Sifters วาดโดย กุสตาฟ คูร์เบท์ Gustave Courbet ค.ศ.1855 2. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ ภาพคนเก็บข้าวตก The Gleaners วาดโดย ฌอง ฟรังซัวส์ มิล์เลท์ Jean-Francois Millet ค.ศ.1857 3.) ศิลปะลัทธิประทับใจ ( Impressionism ) ศิลปะแห่งความงดงาม ของประกายแสงและสี ศิลปะลัทธิประทับใจ จะแสดงภาพทิวทัศน์บก ทะเล ริมฝั่ง เมืองและชีวิตประจำวันที่รื่นรมย์ เช่น การสังสรรค์ บัลเลต์ การแข่งม้า สโมสร นิยมเขียนภาพนอกห้องปฏิบัติงาน รูปแบบของศิลปะลัทธิประทับใจ พยายามแสดงคุณสมบัติของแสงสี อันเป็นผลมาจากความรู้ เกี่ยวกับแสงจากสเปกตรัมและสี ซึ่งเป็นผลผลิตจากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ โดยพยายามบันทึกการสะท้อนแสงบนพื้นผิวของวัตถุ รวมทั้งสภาพบรรยากาศในแต่ละช่วงเวลา ไม่สนใจต่อการแสดงรูปทรงให้โดดเด่นใช้สีสดใสตามสีของสเปกตรัม ระบายด้วยรอยแปรงหยาบๆทับซ้อนกันหลายครั้ง ศิลปินนิยมใช้สีเหลืองในบริเวณแสง สีม่วงในบริเวณเงา ไม่นิยมใช้สีดำหรือสีน้ำตาล เพราะเป็นสีที่ไม่อยู่ในสเปกตรัม ศิลปินในยุคนี้ได้แก่ มาเนท์,โคลด โมเนท์, เรอนัวร์ ,เดอร์กาส์, พีส์ซาร์โร,ซิสเลย์ รวมทั้งประติมากร โรแดง และ รอสโซ 1. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ อาหารกลางวันบนสนามหญ้า Lunch on the Grass วาดโดย มาเนท์ Edouard Manet ค.ศ.1863 เป็นภาพที่สร้างความแปลกและตื่นตระหนกให้แก่ชาวฝรั่งเศสเป็นอันมาก เพราะเป็นภาพที่ผู้ชายแต่งกายเรียบร้อยและผู้หญิงเปลือยกาย 2. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ ความประทับใจเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น Impression Sunrise วาดโดย โคลด โมเนท์ Claude Monet ค.ศ.1872 เป็นภาพที่เป็นที่มาของคำว่า ” ประทับใจ ” ซึ่งทำให้เกิดเป็นศิลปะลัทธิประทับใจขึ้น 3. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ สวนที่จิแวร์นี Garden at Giverny วาดโดย โคลด โมเนท์ Claude Monet 4. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ ห้องเรียนเต้นรำ The Dancing Class วาดโดย เดอร์กาส์ Edgar Degas 5. ภาพผลงานประติมากรรมชื่อ นักคิด The Thinker โดย โรแดง Auguste Rodin เป็นงานประติมากรรมที่แสดงพื้นผิวที่ขรุขระ แสดงถึงอารมณ์เก็บกดและทรมานภายในใจ 4.) ศิลปะลัทธิประทับใจใหม่ ( Neo – Impressionism ) สีจากแสงสเปกตรัมมาสู่อนุภาค เกิดเทคนิคการระบายสีเป็นจุด ( Pointilism ) ซึ่งเป็นผลมาจากความเชื่อทางฟิสิกส์ว่า แสง คือ อนุภาค โดยการระบายสีให้เกิดริ้วรอยพู่กันเล็กๆ ด้วยสีสดใส จุดสีเล็กๆ นี้จะผสานกันในสายตา ของผู้ดู มากกว่าการผสมสีอันเกิดจากการผสมบนจานสี ศิลปินคนสำคัญในยุคนี้ ได้แก่ จอร์จส์ เซอราท์,คามิลล์ พีส์ซาร์โร,พอล ซิยัค 1. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ บ่ายวันอาทิตย์บนเกาะลากรองด์แจตท์ Sunday Afternoon on the Island of La Grande Jatte โดย จอร์จ เซอราท์ Georges Seurat ค.ศ.1886 2. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ ถนนมองท์มาร์ทยามพลบค่ำ Boulevard Montmartre in the Evening โดย คามิลล์ พีส์ซาร์โร Camille Pissaro ค.ศ.1897 4. ศิลปะลัทธิประทับใจยุคหลัง ( Post – Impressionism ) ศิลปินในยุคนี้ ได้แก่ พอล เซซานน์,วินเซนต์ ฟานโกะ,พอลโกแกง และ ทูลูส – โลเทรค 1. ภาพผลงานจิตรกรรม ชื่อ ห้องนอนที่อาลส์ The Bedroom at Arles วาดโดย วินเซนต์ ฟานโกะ Vincent van Gogh 2. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ ณ มูแลง รูจ วาดโดย ทูลูส – โลเทรค Henri de Toulouse-Lautrec 3. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ ราตรีประดับดาว The Starry Night วาดโดย วินเซนต์ ฟานโกะ Vincent van Gogh ค.ศ.1889 Wheat Crows 4. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ หุ่นนิ่งกับแอปเปิ้ล Still Life with Apples โดย พอล เซซานน์ Paul Cexanne ค.ศ.1890 – 1900 5. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ เมื่อไรเธอจะแต่งงาน When are You to be Married โดย พอล โกแกง Paul Gauguin ค.ศ. 1892 6.) ศิลปะลัทธิบาศกนิยม ( Cubism ) ค.ศ. 1907 – 1910 ศิลปินคนสำคัญในยุคนี้ ได้แก่ พาโบล ปิคาสโซ,จอร์จส์ บราคและ เฟอร์นานด์ เลเจร์ 1. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ หญิงสาวแห่งอาวิยอง Les Demoiselles d’Avignon โดย พาโบล ปิคาสโซ Pablo Picasso ค.ศ. 1807 2. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ ชาวโปรตุเกส The Portuguese โดย จอร์จส์ บราค Georges Braque 3. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ ผู้หญิงสามคน โดย เฟอร์นานด์ เลเจร์ Fernand Leger ค.ศ. 1921 7.) ศิลปะลัทธิเหนือจริง ( Surrealism ) ศิลปกรรมที่เปิดเผยความฝันและจิตใต้สำนึก การแสดงออกทางจิตรกรรมของศิลปินลัทธิเหนือจริงมีหลายแนวทางเช่น การสร้างสรรค์รูปทรงจากจิตใต้สำนึก การใช้รูปทรงจากโลกที่มองเห็นได้เป็นตัวสื่อในการแสดงออก อาจเป็นเรื่องของความฝันฝันร้าย อารณ์เก็บกด เรื่องราวจากตำนาน เรื่องเร้นลับ การท้าทาย ศาสนา การเปรียบเทียบสิ่งที่แปลกแตกต่างกัน แสดงออกในสภาพที่เพ้อฝัน น่าตื่นตระหนก น่าหวาดกลัว แดนสนธยา เป็นการใช้สีและสร้างบรรยากาศที่ลึกลับ 1. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ วันเกิด Birthday โดย มาร์ค ชากาลล์ Marc Chagall ค.ศ 1915 2. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ เทศกาลตลก โดย โยฮัน มิโร Joan Miro ค.ศ 1924 – 25 3. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ ความทรงจำที่ฝังแน่น The Persistence of Memory โดย ซัลวาดอร์ ดาลี Salvador Dali ค.ศ. 1931 8.) ศิลปะลัทธินามธรรม ( Abstractism ) ศิลปะไร้รูปลักษณ์ ศิลปินแสดงออกโดยการสกัดรูปทรงจากธรรมชาติให้ง่ายปล่อยให้รูปทรงปรากฏขึ้น ตามลีลาหรือกลวิธีในการแสดงออก บางครั้งก็สร้างรูปทรงให้ปรากฏขึ้นจากความคิดอันเป็นนามธรรม ศิลปินสร้างเส้น รูปทรง สี จากการใช้ญาณวินิจฉัย โดยไม่ต้องพึ่งเส้นรูปทรง สี จากธรรมชาติ การแสดงออกเป็นผลจากพลังจิตใต้สำนึก ตามเส้นทางของจิตวิทยา กลวิธีของการแสดงออก ได้แก่ การใช้สีราด หยด หยอด ใช้แปรงละเลง ระบายอย่างหยาบกร้านการสาดสี เป็นต้น ศิลปินคนสำคัญ ได้แก่ แจคสัน พอลลอค,วาสสิลี แคนดินสกี, พีท มองเดรียง 1. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ องค์ประกอบสีแดง เหลือง และน้ำเงิน โดย พีท มองเดรียง Piet Mondrian ค.ศ.1921 2. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ เอกนัย Convergence โดย แจคสัน พอลลอคJackson Pollock ค.ศ.1952 3. ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ ความปิติ Small Pleasure โดยวาสสิลี แคนดินสกี Wassili Kandinsky ค.ศ. 1913 ” เฮ่อ…จบซะที!” เอกสารอ้างอิง วิรุณ ตั้งเจริญ.(2542) สารานุกรมสำหรับเยาวชนชุดศิลปะและงานสร้างสรรค์ ทัศนศิลป์ ตะวันตกสมัยเก่า กรุงเทพ : บริษัท ต้นอ้อ ๑๙๙๙ จำกัด อำนาจ เย็นสบาย.(2542) สารานุกรมสำหรับเยาวชนชุดศิลปะและงานสร้างสรรค์ ทัศนศิลป์ ตะวันตกสมัยใหม่ กรุงเทพ : บริษัท ต้นอ้อ ๑๙๙๙ จำกัด นักเรียนทำใบงานเสร็จแล้ว ลองทบทวนความรู้ด้วยการตอบคำถามต่อไปนี้ดูซิคะ! แบบฝึกหัด 1. ศิลปะไบแซนไทน์ เป็นจักรวรรดิที่อยู่ระหว่าง ค.ศ.เท่าไร? 2. การสร้างงานศิลปะโมเซอิก(Mosaic) เป็นศิลปะที่อยู่ในยุคสมัยใด? 3. เกิดจากการนำกระเบื้องเคลือบสีแผ่นเล็กๆ มาประกอบกันเป็นภาพ? 4. เป็นภาพงานจิตรกรรมที่เขียนลงบนแผ่นไม้เพื่อเคารพบูชาในบ้าน? 5. ศิลปะโกธิค เกิดขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่เท่าไร? 6. เป็นสถาปัตยกรรมที่มีลักษณะสูงชลูด? 7. วิหารนอเตรอดาม อยู่ในประเทศอะไร? 8. เป็นโบสถ์ที่ ร.5 ทรงนำแบบมาสร้างที่วัดนิเวศธรรมประวัติ จ.พระนครศรีอยุธยา? 9. เป็นภาพกระจกสีที่บอกเรื่องราวความเป็นมาของอาดัมกับอีฟ 10. ศิลปะยุคฟื้นฟูศิลปะและวิทยาการ อยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่เท่าไร? 11. เป็นสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นในยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ? 12. เป็นสถาปนิกที่ออกแบบและก่อสร้างโบสถ์เซนต์ปีเตอร์? 13. โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ตั้งอยู่ที่ประเทศใด? 14. เป็นภาพที่วาดบนเพดานโบสถ์ซิสทีนโดย มิเคลันเจโล? 15. เป็นภาพผู้หญิงสาว ที่ทำให้ เลโอนาโด ดา วินชี มีชื่อเสียงโด่งดัง? 16. เป็นสิ่งที่เกิดจากการค้นคว้าทดลองของศิลปิน ในสมัยเรอนาซองส์ 17. เป็นบันไดก้าวแรกต่อการสร้างสรรค์งานจิตรกรรมสมัยใหม่ 18. เป็นสีที่คิดค้นและนำมาใช้วาดภาพในสมัยเรอนาซองส์ 19. เป็นประติมากรรมลอยตัว รูปเด็กหนุ่ม อยู่ในสมัยฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ แสดงความสมบูรณ์ของสรีระ ความสง่างามของท่ายืนและความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว? 20. ศิลปะบาโรก อยู่ในช่วง ค.ศ.เท่าไร? 21. เป็นสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ในสมัยบาโรก ใช้เวลาสร้างประมาณ 30 ปี? 22. เป็นประติมากรรมสมัยบาโรก ที่แสดงอาการเคลื่อนไหว ให้ความรู้สึกมีชีวิต? 23. เป็นสมัยที่มีการสร้างงานศิลปะที่มุ่งแสดงถึงความรัก การเสพสุข? 24. ภาพร่อนข้าวโพด วาดโดย? 25. ภาพภาพการอัปปางของแพเมดูซา วาดโดย? 26. ศิลปะยุคโรแมนติก ศิลปินมีแนวคิดในการสร้างสรรค์อย่างไร? 27. ศิลปะยุคสัจนิยม ศิลปินสร้างสรรค์ผลงานด้วยแนวคิดอะไร? 28. ยุคอิมเพรสชั่น เกิดเทคนิคอะไรและวิธีการเขียนภาพโดยนำหลักการใดมาใช้? 29. ศิลปินที่สร้างประวัติศาสตร์ของการเขียนภาพแบบทิ้งรอยแปรงใน ยุคโพสท์อิมเพรสชั่น คือใคร? 30. ศิลปินที่หลงใหลในความบริสุทธิ์และจริงใจของหญิงสาวชาวพื้นเมืองคือใคร? …………………………………………………………… ขอให้นักเรียนทุกคนโชคดีในการสอบนะคะ !_____________อ.แต๊กค่ะ ย้อนกลับไปเมื่อปี 1893 ในยามเย็นวันหนึ่ง เมื่ออาทิตย์ใกล้อัสดง Edvard Munch จิตรกรชาวนอรเวย์ กำลังเดินเล่นอยู่กับเพื่อนของเขาอีก 2 คน อยู่ๆท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีเลือด อะไรบางอย่างทำให้เขารู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรง จนต้องยืนพิงรั้วข้างทาง บนฟากฟ้าเต็มไปด้วยสีแดงฉานดั่งเปลวไฟ เพื่อนของเขาเดินกันต่อไป ในขณะที่เขายืนตัวสั่นเทาด้วยความกังวลใจ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงเสียงกรีดร้องของธรรมชาติดังลั่นบาดลึกไปถึงขั้วหัวใจ และนั่นคือสิ่งที่ Munch ได้สัมผัสมา จนเป็นแรงบันดาลใจให้เขาถ่ายทอดความรู้สึก ออกมาเป็นภาพวาดแนว Expressionist ที่จับเอาอารมณ์ความรู้สึกจากเส้นประสาทมาตรวัดแปลงเป็นภาพพิศได้อย่างถึงพริกถึงขิง ท้องฟ้าเปื้อนแสงสีแดงอมเหลืองเจือเขียวนิดๆ ส่อให้เห็นเข้าไปถึงความรู้สึกของมนุษย์ (ที่ไม่สามารถระบุเพศได้) ผู้ที่ยืนตกใจอยู่กลางภาพ วิวเบื้องหลังบิดเบือน เหมือนจะละลายไปกับความสับสนกระวนกระวาย สอดคล้องกับสภาพของฟ้าเบื้องบน ที่แปรปรวนใช่เล่น ตาของคนในภาพอยู่ในสภาพตกใจสุดขีด มือทั้งสองพยายามอุดหู เหมือนต้องการจะปิดกั้นตัวเองจากเสียงร้องอันรันทดนั้น ให้วิเคราะห์คนในภาพคงจะเป็นตัวผู้วาดเอง ส่วนอากัปกิริยาเป็นอาการของคนวิตกจริต เนื่องมาจากเสียงรบกวน ที่ไม่มีคนอื่นได้ยิน เสียงที่ว่ายังกัดกินแก้วหูของเขาอย่างเลือดเย็น ในขณะที่เพื่อนๆผู้ไม่ได้ยินอะไร เดินห่างออกไปเรื่อยๆ ทิ้งให้เขาในสภาพช๊อค ยืนอยู่อย่างเดียวดาย ส่วนท้องฟ้านั้น ที่เป็นสีแดงแปลกๆ อาจเป็นเรื่องจริง ที่ Munch เห็นกับตาจนมโนเสียงเอาเองได้ เพราะในช่วงเดียวกันนั้น ภูเขาไฟแห่งเกาะ Krakatoa ประเทศอินโดนีเซีย ได้เกิดระเบิดครั้งใหญ่ขึ้น เป็นเหตุให้เถ้าถ่านภูเขาไฟพวยพุ่ง สร้างผลกระทบบรรยากาศฟ้าไปทั่วทั้งโลก ดีไม่ดีอาจเป็นได้ว่าจิตรกรก็อาจมีหูวิเศษ ได้ยินเสียงระเบิดจากดินแดนอันห่างไกล จนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้วาดภาพThe Scream น่าเสียดายที่ปัจจุบัน ภาพนี้ถูกมือดีจารกรรมไปครั้งล่าสุดเมื่อปี 2004 ค้นหากันอยู่นานสามารถนำกลับมาได้ พร้อมลากคอทีมปล้นเข้าไปวาดรูปเล่นในคุก แต่หลังจากได้ภาพคืนกลับมาแล้ว พบว่าภาพอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรม เนื่องมาจากการเก็บรักษาผิดวิธีของโจรโฉด ความชื้นเข้าแทรกทำให้สีเสียหายเกินที่จะบูรณะให้กลับมาเหมือนต้นฉบับได้ เป็นเรื่องน่าเศร้าน่าตกอกตกใจเสียยิ่งกว่าอารมณ์ในภาพเสียอีก

This entry was posted in Uncategorized. Bookmark the permalink.

Leave a comment